อรูปาวจรกิริยา
[๔๙๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน?
พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก
แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร
เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา
เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา
จึงบรรลุจตุตถฌาน
อันสหรคตด้วยอากาสามัญ-จายตนสัญญา
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. [๔๙๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน? พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก
แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร
เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ
ได้โดยประการทั้งปวง
จึงบรรลุจตุตถฌาน
อันสหรคตด้วยวิญญาณัญจายตนสัญญา
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. [๔๙๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน? พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร
เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ
ได้โดยประการทั้งปวง
จึงบรรลุจตุตถฌาน
อันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตนสัญญา
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. [๔๙๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน? พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก
แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร
เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะ
ได้โดยประการทั้งปวง
จึงบรรลุจตุตถฌาน
อันสหรคตด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ได้ ฯลฯ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. [๕๐๐] อัพยากตมูล คือ อโลภะ ฯลฯ
อัพยากตมูล คือ อโทสะ ฯลฯ
อัพยากตมูล คือ อโมหะ ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. อรูปาวจรกิริยา จบ. จิตตุปปาทกัณฑ์ จบ. ---------------
อธิบาย : พระขีณาสพ คือผู้สิ้นอาสวะแล้ว
หมายถึงพระอรหันต์
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก
แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร
เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา
เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา
จึงบรรลุจตุตถฌาน
อันสหรคตด้วยอากาสามัญ-จายตนสัญญา
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. [๔๙๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน? พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก
แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร
เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ
ได้โดยประการทั้งปวง
จึงบรรลุจตุตถฌาน
อันสหรคตด้วยวิญญาณัญจายตนสัญญา
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. [๔๙๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน? พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร
เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ
ได้โดยประการทั้งปวง
จึงบรรลุจตุตถฌาน
อันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตนสัญญา
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. [๔๙๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน? พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก
แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร
เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะ
ได้โดยประการทั้งปวง
จึงบรรลุจตุตถฌาน
อันสหรคตด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ได้ ฯลฯ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. [๕๐๐] อัพยากตมูล คือ อโลภะ ฯลฯ
อัพยากตมูล คือ อโทสะ ฯลฯ
อัพยากตมูล คือ อโมหะ ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต. อรูปาวจรกิริยา จบ. จิตตุปปาทกัณฑ์ จบ. ---------------
อธิบาย : พระขีณาสพ คือผู้สิ้นอาสวะแล้ว
หมายถึงพระอรหันต์